Feed

สูตรการบิดลูกบิด (Rubik) แถวที่สอง

by -:-[ซาลาLปา]อ้วu[กaม]-:- on วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552,


สูตร การหมุน Rubik แถวที่ 2หลังจากที่เราทำแถวแรกกันได้แล้วนะครับ เราก็มาทำแถวที่สองกันต่อเลย แถวที่สองนี้ทำง่ายหน่อยนะครับ อาศัยความเข้าใจนิดนึงก็ใช้ได้เลย

หลังจากทำได้หน้าเดียว (อย่างเป็นระเบียบ) เรียบร้อยแล้ว ให้เราบิดแถวแรกที่เราทำได้ดังนี้ .. (ทางซ้ายหรือขวาก็ได้นะครับ)
ให้ได้สีหน้าที่เหลือทั้ง 4 หน้า ที่ไม่ใช่ด้านบน ตรงกับสีที่ถูกต้องอย่างในรูปนะครับ
เรา ก็พลิกสีที่เราใช้เป็นหลักในตอนแรก (คือสีเหลือง) ลงไปข้างล่างนะครับ ทีนี้เราก็เล็งสีตรงที่ผมวงเอาไว้ ว่าสีอะไรจะมาใส่ที่ตรงนี้ ในที่นี้สีก็ควรจะเป็นอย่างรูปเล็กที่ผมเอามาให้ดูกันใช่ไหมครับ
ให้เรามองหาสีดังกล่าวที่อยู่คู่กัน แล้วพยายามบิดให้ได้อย่างในรูป ซึ่งตรงนี้ต้องเลือกหน่อย เพราะบางทีมันก็หาตำแหน่งนี้ยากซักหน่อย
ขั้น แรกเลย ให้เราหันหน้าที่เป็นสีแดงเข้ามาหาตัวเรา และให้ด้านน้ำเงิน ซิ่งมีเม็ดที่เราต้องการอยู่ทางด้านขวา จากนั้นให้บิดด้านบนไปทางขวาหนึ่งครั้ง
แล้วก็บิดด้านหน้าทวนเข็มนาฬิกาหนึ่งครั้ง
แล้วก็บิดด้านบนกลับมาทางด้านซ้ายหนึ่งครั้ง
แล้วเราก็บิดด้านหน้ากลับมาแบบตามเข็มนาฬิกาหนึ่งครั้ง ตรงนี้จะเห็นว่าสีแดงกับสีน้ำเงินที่อยู่ด้านบนเข้าคู่กันแล้วครับ
แล้วเราก็ต้องจัดให้มันได้ตำแหน่งเดิม นั่นคือบิดด้านบนไปทางซ้ายหนึ่งครั้ง
แล้วก็บิดด้านขวาขึ้นมาข้างบนหนึ่งครั้ง
แล้วก็บิดด้านบนไปทางขวาหนึ่งครั้ง
ทีนี้เกือบเข้าที่แล้วครับ แล้วก็บิดด้านขวาลงมา
ได้แล้วครับ
จาก นั้นเราก็ทำจุดที่เหลือให้ครบ ทีนี้มีอยู่สองสามอย่างที่อยากจะบอกครับ คือ1. ถ้าเม็ดที่เราต้องการเนี่ย ไม่อยู่ด้านขวาเหมือนในตัวอย่าง แต่ดันไปอยู่ข้างซ้าย วิธีการบิด ก็เหมือนกันทุกอย่างครับ แต่ ... ให้กลับการทำกัน ซ้ายเป็นขวา ทวนเข็มเป็นตามเข็ม ด้านซ้ายเป็นด้านขวา ด้านขวาเป็นด้านซ้าย แล้วจะเข้าล๊อคเหมือนกันครับ2. ให้สังเกตุเม็ดสีด้านบน เช่น ถ้าเป็นสีขาว ให้เราเลือกเม็ดที่ไม่มีสีขาวเอามาทำ เพราะมันจะลงตัว แต่ถ้ามีสีขาวอยู่ ยังไงมันก็ไม่ลงครับ3. ถ้าสมมุติเหมือนตัวอย่างเลย คือสีแดงและสีน้ำเงิน แต่เม็ดที่ต้องการก็อยู่ตรงนั้นแหละ แต่สลับสีกันระหว่างแดงกับน้ำเงิน ให้เราบิดแบบขั้นตอนนี้ทิ้งไป 1 ชุดครับ สีแดงน้ำเงินที่ต้องการ จะมาอยู่ด้านบน แล้วเราก็ค่อยบิดกลับลงมาให้ถูกตำแหน่ง
ขั้นตอนที่ทำขั้น ที่สองนี้ ไม่เยอะมาก แต่ต้องทำความเข้าใจกับมันนิดนึงครับ ว่าทำไมต้องบิดแบบนี้ ขนาดนี้ ถ้าเข้าใจแล้วจะง่ายเลยครับ จะได้สองแถวได้เร็วมากๆ ครับ
ก็เหลือขึ้นตอนที่ 3 นะครับ ... อิอิ


วิธีการใช้แมโคร ใน Micosoft Word 2003

by -:-[ซาลาLปา]อ้วu[กaม]-:-

1.บนเมนู เครื่องมือ ในโปรแกรม Word ให้ชี้เมาส์ไปที่ แมโคร และคลิก บันทึกแมโครใหม่ เพื่อแสดงกล่องโต้ตอบ บันทึกแมโคร


2.ในช่อง ชื่อของแมโคร ให้พิมพ์คำว่า InsertLegalText
3.ในช่อง เก็บแมโครไว้ที่ ให้คลิก เอกสารทั้งหมด (Normal.dot)

4.คลิก ตกลง แถบเครื่องมือ การบันทึก จะปรากฏ




5. พิมพ์ข้อความต่อไปนี้: Copyright XYZ Corporation. You may not modify, copy, or distribute any information contained in this document without our prior permission.
6.บนแถบเครื่องมือ การบันทึก ให้คลิก หยุดการบันทึก
7.เปิดเอกสาร Word ใหม่อีกเอกสารหนึ่ง และบนเมนู เครื่องมือ ให้ชี้เมาส์ไปที่คำว่า แมโคร และคลิก แมโคร เพื่อแสดงกล่องโต้ตอบ แมโคร


8.ในรายการ แมโครใน ให้คลิก Normal.dot (แม่แบบส่วนรวม)
9.ในรายการ ชื่อแมโคร ให้คลิก InsertLegalTextและคลิก เรียกใช้ ข้อความที่คุณพิมพ์ในขั้นตอนที่ 5 จะปรากฏในเอกสารใหม่


ยกตัวอย่างชุดคำสั่ง ภาษาC

by -:-[ซาลาLปา]อ้วu[กaม]-:-

ฟังก์ชั่น printf()

ฟังก์ชั่น printf มีชื่อเต็ม ๆ ว่า print format เป็นฟังชั่นที่ใช้สำหรับ พิมพ์ข้อความต่าง ๆ ออกจากจอภาพ



ฟังก์ชั้น scanf()




ฟัง ก์ชั้น scanf ฟังก์ชั่นนี้จะตรงข้ามกับฟังก์ชั่น printf() โดยจะใช้อ่านค่าจากการกดแป้นพิมพ์ที่อยู่ในรูปรหัส ASCll ไปเก็บในตัวแปรที่กำหนด และสามารถใช้เป็นรหัสควบคุมหรือ control string ระบุชนิดข้อมูลที่จะเก็บในตัวแปร


ฟังก์ชั่น (if - else)



ฟัง ก์ชั่น if-else เป็นฟังก์ชั่นที่กำหนดว่าให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกรณีที่คอมพิวเตอร์ต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยตรวจสอบเงื่อนไขที่ กำหนดจะใช้คำสั่ง if-else โดยถ้าเงื่อนไขเป้นจริงก็จะทำคำสั่ง if แต่ ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จจำทำคำสั่งหลัง else โดยนิพจน์ที่ตามหลัง if จะเป้นข้อมูลทาง ตรรกะ


ฟังก์ชั่น for


การ ทำซ้ำแบบ for หรือ ลูปจะเป็นการให้โปรแกรมทำซ้ำจนกว่าค่าตัวแปรจะครบตามที่ตั้งไว้ เริ่มแรกโปรแกรมจะกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปรเริ่มตัว (initiailzation) จากนั้นทำสเตดเมนต์


ในส่วนของ condition บางครั้งจะเรียกว่าตัวแปรควบคุม loop เริ่มต้นคำสั่งจะทำส่วนกำหนดค่าเริ่มต้น (initial value) จากนั้นจำตรวจสอบว่าเงื่อนไขเป็นจริงหรือไม่ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงจะทำตาม สเตตเมนต์ที่จำทำซ้ำ แล้วกลับมาส่วน increment


ในส่วนของ increment จะเป็นคำสั่งที่ใช้เพิ่มค่าหรือลดค่าให้กับตัวแปร โดยมักจะเขียนเป็นคำสั่งเดียว แต่ถ้าต้องการใช้หลายคำสั่ง จะให้เครื่องหมาย comma คั้น


ฟังชั่น while

ประโยค คำสั่งลูปแบบ while จำใช้ให้ดปรแกรมทำงานซ้ำโดยตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงจะทำซ้ำ และจะวนรอบจนกว่าเงื่อนไขจะเป็นเท็จลูปแบบนี้จะต่างจากลูปแบบ for เพราะจำนวนครั้งที่ทำซ้ำไม่แน่นอน ขึ้นกับเงื่อนไข


ประวัติ ภาษา C++

by -:-[ซาลาLปา]อ้วu[กaม]-:-

ภาษาซี เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1972 โดย Dennis Ritchie แห่ง Bell Labs โดยภาษาซีนั้นพัฒนามาจาก ภาษา B และจากภาษา BCPL ซึ่งในช่วงแรกนั้นภาษาซีถูกออกแบบให้ใช้เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมในระบบ UNIX และเริ่มมีคนสนใจมากขึ้นในปี ค.ศ.1978มื่อ Brain Kernighan ร่วมกับ Dennis Ritchie พัฒนามาตรฐานของภาษาซีขึ้นมา คือ K&R (Kernighan & Ritchie) และทั้งสองยังได้แต่งหนังสือชื่อว่า "The C Programming Language" โดยภาษาซีนั้นสามารถจะปรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รูปแบบต่างๆได้ ต่อมาในช่วง ปี ค.ศ.1988 Ritchie และ Kernighan ได้ร่วมกับ ANSI (American National Standards Institute) สร้างเป็นมาตรฐานของภาษาซีขึ้นมาใหม่มีชื่อว่า "ANSI C"

ภาษา ซีนั้นจัดเป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมที่นิยมใช้งาน ซึ่งภาษาซีจัดเป็นภาษาระดับกลาง (Middle-Level Language) เหมาะกับการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (Structured Programming) โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นอย่างหนึ่งคือ มีความยืดหยุ่นมาก กล่าวคือ สามารถทำงานกับเครื่องมือ ต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนการเขียนโปรแกรมในรูปแบบต่างๆได้ เช่น สามารถเขียนโปรแกรมที่มีความยาวหลายบรรทัดให้เหลือความยาว 2-3 บรรทัดได้ โดยมีการผลการทำงานที่เหมือนเดิมครับ

เหตุผล ที่ควรเรียนภาษาซีก็เนื่องจากภาษาซีเป็นภาษาแบบโครงสร้างที่สามารถศึกษาและ ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก อีกทั้งยังสามารถเป็นพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นๆ ได้อีก เช่น C++, Perl, JAVA เป็นต้น

จาก C สู่ C++ถูกพัฒนาโดย Bjarne Stroustrup แห่ง Bell Labs โดยได้นำเอาภาษา C มาพัฒนาและใส่แนวคิดการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือ OOP (Object Oriented Programming) เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นที่มาของ C++ ก็คือ นำภาษา C มาพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จำ เป็นไหม? ที่ต้องเรียนภาษา C ก่อน เรียน C++ เลยไม่ได้เหรอ? คำตอบก็คือ คุณจะเรียน C++ เลยก็ได้ครับ โดยไม่ต้องศึกษาภาษา C มาก่อน แต่ถ้าคุณเข้า ใจหลักการทำงาน และการเขียนโปรแกรมภาษา C แล้วจะสามารถต่อยอด C++ ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังสามารถเข้าใจแนวคิดการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นๆ ได้อีก ซึ่งในบทความในช่วงแรกผมจะนำเสนอหลักและแนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษา C ก่อนนะครับ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในพื้นฐานก่อนนะครับ


Followers

Looking for something?

Search the Site

If you can't find what you are looking for, please leave a comment somewhere, subscribe to our feed and hopefully your question will be answered shortly, so please visit again!